15 May 2008

Kyoto Station - Teramachi

Japan 2007 : Day 14

ไม่อยากให้ถึงพรุ่งนี้เลย ต้องกลับแล้วหรือนี่ โธ่ เวลาแห่งความสุขกำลังจะผ่านไปอีกแล้ว Y__Y วันนี้เป็นวันเก็บตก คือไปไล่ซื้อของที่ยังไม่ได้ซื้อ ก่อนจะเดินทางกลับวันพรุ่งนี้ มื้อเที่ยงวันนี้มาเก็บตกกินร้านที่ปิ๊กเล็งไว้ตั้งแต่วันแรกๆ ชื่อร้าน Mollette อยู่ข้างบน Kyoto Station ชั้น 11 ฝั่งเดียวกะอิเซตัน


คนนี้เป็นปลื้มกับอาหารชุดสำหรับเด็ก ไม่ปลื้มได้ไงเค้าแถมของเล่นให้หนูด้วยหนิ :)


น้าๆ ก็ปลื้มเหมือนกัน เพราะได้กินข้าวห่อไข่สมใจอยากแล้ว จานนี้เลย Number 1 ของร้านนี้เค้าหละ สั่งตามตู้โชว์หน้าร้านทุกอย่างเลยมื้อนี้ 555 ง่ายดี ตบท้ายด้วยพุดดิ้งชาเขียว




มื้อเย็นมีนัดดินเนอร์กับคุณนายดาวซังและสามี สหัสซัง ใจดีบอกจะเลี้ยงส่ง เพราะไปนอนบ้านเค้าตั้งหลายวัน แทบไม่เจอหน้ากันเลย โห พี่ พวกเราไปรบกวนนอนที่บ้าน แล้วพี่ยังจะเลี้ยงข้าวพวกเราอีก งั้นก็... ไม่เกรงใจละนะ เดี๋ยวจะสั่งให้เต็มที่เลย 555555 ล้อเล่นน่า มากินกันแถว Teramachi นี่แหละ ง่ายดี ดาวนั่งรถไฟจากโกเบมาลงที่นี่ก็สะดวกด้วย เลือกอยู่นานจนมาจบที่ร้านอาหารเอเชีย สไตล์ฟิวชั่น จานแรกที่สั่งมาหน้าตาเหมือนยากิโซบะ ผสมผัดขี้เมา อร่อยดี



จานนี้ชื่อ Okinawa Fried Rice ทำไมต้องโอกินาว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อร่อยเช่นกัน


ของอื่นไม่ทันถ่ายรูป หมดซะก่อน ข้ามมาที่ของหวานเลย ของหวานที่นี่เก๋มาก ไม่ต้องสั่ง เค้าให้จับฉลากตั้งแต่ตอนเข้าร้าน แล้วเอาสลากยื่นให้พนักงานที่รับออร์เดอร์ไป กินข้าวเสร็จเค้าก็เอามาเสิร์ฟ ตื่นเต้นดีนะ อันที่จับสลากได้เป็นไอติมกะทิ แต่รสชาติไม่เหมือนของบ้านเรา ของเค้าก็อร่อยแฮะ หวานมัน เข้มข้นดี แถมโรยมะพร้าวอบกรอบมาด้วย ยิ่งเคี้ยวมันเข้าไปอีก อยากกินอีก แต่อิ่มแล้ว


แล้วก็ต้องร่ำลากันแล้ว พี่สหัสกะดาวชวนให้ไปเที่ยวอีกช่วงซากุระ บอกให้มานานๆ เลย ไม่ต้องเกรงใจ ก็อยากไปนะไม่ใช่ไม่อยาก แต่ไม่มีตังแล้วเนี่ยสิ เฮ้อออ :S

Himeji-jo - Osaka

Japan 2007 : Day 13

ได้เวลาอำลาโกเบกันแล้ว วันนี้พวกเราจะแยกกันเป็น 2 ทีม เป้+ปิ๊ก จะไปเที่ยว Himeji กัน ส่วนอั้ม+ดาว จะไปตามล่าหาร้านแต่งรถที่ Osaka แล้วตอนเย็นค่อยไปเจอกันที่ Umeda กว่าพวกเราจะเสด็จออกจากบ้านดาวได้ก็สายโด่ เพราะมัวแต่เปลี่ยนชุดนั้นชุดนี้กันอยู่ โดยมีดาวซังเป็นสไตลิสท์จำเป็น นั่งรถไฟออกจาก Rokko Island มาแยกกันที่สถานี Sumiyoshi แล้วเป้กะปิ๊กก็นั่งรถไฟไปตะลุยฮิเมจิกัน 2 คน

เมืองนี้ดูน่ารักดี เป็นเมืองเล็กๆ แต่น่าอยู่ สองข้างถนนจะเป็นทางเดินเท้าที่มีงานประติมากรรมจัดแสดงไว้เป็นระยะๆ แล้วก็ปลูกต้นซากุระ กับต้นแปะก้วยไว้ตลอดแนวทางเดินด้วย ถ้ามาตอนช่วงซากุระบานคงโรแมนติกน่าดู


เดินตรงจากสถานีมาไม่นานก็ถึงหน้าปราสาทแล้วจ้า บัตรผ่านประตู 600 เยน ดีใจมากที่วันนี้ไม่เจอแก๊งนักเรียน เจอแต่พวกทัวร์ สงสัยที่ไม่เจอเด็กเพราะที่นี่ไม่ใช่วัดรึเปล่าไม่รู้แฮะ ทุกทีเจอตามวัด :S


Himeji Castle เป็นปราสาทญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Himeji จังหวัด Hyogo เป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เหลือรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกและสมบัติประจำชาิติญี่ปุ่น ถือว่าเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่มีงดงามที่สุดในญี่ปุ่น โดยอีก 2 แห่งคือ Masumoto Castle และ Kumamoto Castle และยังเป็นปราสาทที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย

ชาวญี่ปุ่นนิยมเรียกในชื่อว่า ปราสาทนกกระสาขาว (Shirasagi-jo หรือ White Heron castle) ซึ่งมีที่มาจากพื้นผิวปราสาทภายนอกซึ่งมีสีขาวสว่างนั่นเอง ปราสาทแห่งนี้เคยถูกทิ้งระเบิดในปี 1945 เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าพื้นที่โดยรอบส่วนใหญ่จะถูกเผาทำลาย แต่ตัวปราสาทยังคงตั้งอยู่ได้โดยแทบไม่เสียหายเลย

ปราสาทฮิเมจิเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ของปราสาทญี่ปุ่น เนื่องจากมีลักษณะทางสถาปัตยกรรม และยุทโธปกรณ์ครบ ตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่างๆ ในบริเวณปราสาท และรอบๆปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่ ช่องสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท เป็นต้น


จุดเด่นของปราสาทอย่างหนึ่ง คือทางเดินสู่อาคารหลัก ซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงต่างๆ ในปราสาท ได้รับการออกแบบมาอย่างดี เพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงโดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นก้นหอยรอบๆ อาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันมากมาย ระหว่างที่ศัตรูกำลังหลงทางอยู่นี้ ก็จะถูกโจมตีจากข้างบนอาคารหลักได้โดยสะดวก แต่อย่างไรก็ตาม ปราสาทฮิเมจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีในลักษณะนี้เลย ระบบการป้องกันต่างๆ จึงยังไม่เคยถูกใช้งาน

ตลอดเวลาที่เดินอยู่ในปราสาท หอมกลิ่นอะไรไม่รู้โชยมาเป็นระยะๆ เลยเดินตามกลิ่นไปเจอต้นนี้ ไม่รู้ต้นอะไรเหมือนกัน รู้แต่หอมมากกกก หอมแบบไม่อยากให้ไปไหน อยากยืนดมอยู่อย่างงี้อะ เว่อป่ะ 555 แต่หอมจริงๆ นะ


นี่ขึ้นไปบนปราสาทแล้วมองลงมา เห็นวิวข้างล่างสวยดี นี่เราเดินมาไกลขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ไกลโคตรเลยแฮะ ไม่น่าเชื่อ เดินมาเหมือนใกล้เลย


มองมุมนี้ เห็นเหมือนเป็นเกาะอยู่กลางทะเลเลย เจ๋งดี



พวกเราเดินออกทางประตูด้านข้าง ใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์ศิลปะของเมือง เดินผ่านสวน Shiromidai ก็เลยเก็บภาพปราสาทมาได้อีกมุม ปราสาทไรไม่รุ สวยทุกมุมเลยแฮะ :D


อ๊ะ เจอจนได้ ว่าจะถ่ายรูปเก็บไว้หน่อย เพิ่งเจอคันแรกเลย เจ้านี่คือ Himeji Castle Loop Bus ซึ่งเป็นรถโดยสาร สำหรับเที่ยวชมรอบปราสาท ในราคาเพียงเที่ยวละ 100 เยนเท่านั้น! แต่ไม่รู้ว่านั่งวนรอบนึงใช้เวลานานแค่ไหน เลยไม่กล้าเสี่ยงกลัวกลับไปขึ้นรถไฟไม่ทัน เสียดายจัง :S


ได้เวลาขึ้นรถไฟไปโอซาก้าแล้ว กว่าจะถึงโอซาก้าก็เย็นย่ำเต็มที เจออั้มกับดาวแล้วก็ตกลงกันว่าจะไปหาของกินแถว Dotombori เพราะมันมีให้เลือกเยอะดี แล้วพวกเราแวะกินราเมนก่อนกลับบ้าน ไม่รู้ชื่อร้าน รู้แต่ว่าราเมนเค้าชามใหญ่มาก



Miyajima, Hiroshima

Japan 2007 : Day 12

วันนี้ดาวมีเรียน เลยไม่ได้มาเที่ยวด้วยกัน พวกเราเลยไปลุยกันเอง เป้าหมายของวันนี้อยู่ที่เกาะ Miyajima, Hiroshima รถไฟ Shinkansen ขบวนที่เราจะนั่งไปฮิโรชิมาวันนี้ เป็นแบบ Hikari Railstar ซึ่งมีแค่ 8 โบกี้ และจะให้บริการทางฝั่งตะวันตก และภาคกลางของประเทศญี่ปุ่น จะว่าไปแล้วรถไฟหัวกระสุนหรือ Bullet Train ของญี่ปุ่นนั้น มีอยู่หลายรุ่นมาก ต่างกันที่หน้าตา สี สิ่งอำนวยความสะดวกภายในตู้โดยสาร และระดับความเร็ว


ฮ่า :D ขึ้นรถไฟเที่ยวก่อน ไม่ด้เตรียมข้าวกล่องไปกิน วันนี้ไม่พลาด เตรียมมื้อเที่ยงไปกินบนรถไฟด้วย


ถึงแล้วเดินมาหน้า Hiroshima Station หน่อยก็จะเจอสถานีรถรางท้องถิ่นที่เค้าเรียกว่า Streetcar ไอ้เราก็เซ่อ ดันบ้าจี้ไปซื้อตั๋วแบบ Daypass ที่รวมทั้งค่ารถ และค่าเรือข้ามเกาะกันคนละใบ ยืนรอซักพักรถก็มา ข้างในคล้ายๆ รถไฟที่นั่งไป Arashiyama ที่เกียวโต



นั่งๆ ไปเพิ่งฉลาด เลยกางแผนที่มาดู เลยมารู้ทีหลังว่า JR ก็มีไปลงที่ท่าเรือ Miyajima อ้าว เวรแล้วไง streetcar ที่นั่งไปนี่ก็สุดจะช้า หวานเย็นมาก จอดมันทุกป้าย ขืนไปต่อมีหวังกลับมาไม่ทันขึ้นรถไฟกลับโกเบแน่ เลยเปลี่ยนแผนว่าจะไปขึ้น JR ที่สถานีข้างหน้าแทน ส่วน Daypass มันรวมค่าเรือด้วย ไว้ไปใช้ตอนนั่งเรือข้ามฟากก็แล้วกันวะ -__-'

ระหว่างทางรถแล่นผ่าน Atomic Bomb Dome หรือ Genbaku Dome ด้วย ที่นี่ถือเป็นอนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิมา ตั้งอยู่ในบริเวณ Peace Memorial Park ตอนสงครามโลก ระเบิดปรมาณูถูกทิ้งลงแทบจะตรงกับเหนือตัวอาคาร และเป็นอาคารที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางการระเบิดมากที่สุดในบรรดาอาคารที่ยังตั้งทนต่อแรงระเบิด ตัวอาคารได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพหลังจากถูกระเบิด ทุกวันนี้อาคารหลังนี้ได้กลายเป็นอนุสรณ์เตือนให้ระลึกถึงพลังทำลายล้างของปรมาณู และเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังในสันติภาพ และต่อต้านการใช้อาวุธปรมาณูอีกด้วย


แล้วเราก็เปลี่ยนมาขึ้น JR ไปลงรถไฟที่ Miyajima-guchi แล้ว ทีแรกตั้งใจจะเอาบัตร day pass มาใช้ตอนนั่งเรือข้ามฟาก แต่ JR นี่ก็ดีใจหาย มันมีเรือข้ามฟากให้ด้วย เรียกว่าใช้ JR ได้ตลอดทริปนี้เลย กรรม -___-'


เรือ JR กำลังจะออกพอดี รีบไปกันก่อนดีกว่า ขึ้นเรือซักพักก็ออกจากท่าเลย ไม่ต้องรอนาน แล้วตูซื้ออีบัตรนี่มาทำไมฟะ!!?? เฮ้อ ตั้ง 840 เยน ซื้อกันคนละใบ นี่หละน้า ไม่วางแผนให้ดีก่อน จะโทษใครได้ T__T


เกาะมิยาจิม่า เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงของฮิโรชิม่า เนื่องจากมีศาลเจ้าที่สวยงาม และได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลก ชื่อว่า Itsukushima กิจกรรมอื่นของที่นี่นอกเหนือจากการมาเที่ยวชมโทริอิของศาลเจ้า ซึ่งตั้งอยู่กลางน้ำแห่งนี้แล้ว ก็คือการนั่ง Ropeway หรือกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปดูวิวบนเขา Misen และมี Aquarium บนเกาะด้วย แต่พวกเราไม่ได้ไปเพราะเวลามีจำกัด


ศาลเจ้า Itsukushima อยู่ห่างจากท่าเรือพอประมาณ ต้องเดินไปตามทางประมาณ 10 นาที สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึกมากมาย ส่วนสาเหตุที่ว่า ทำไมศาลเจ้าแห่งนี้ถึงไปสร้างโทริอิ หรือประตูศาลเจ้าอยู่กลางน้ำ ก็มีที่มาว่าก่อนที่จะสร้างศาลเจ้านี้ ได้มีการยิงธนูเสี่ยงทาย เพื่อหาจุดที่จะตั้งโทริอิ ลูกธนูถูกแรงลมพัดไปตกลงมากลางน้ำ ก็เลยต้องสร้างประตูกันตรงตำแหน่งที่เห็นนั่นยังไง :)


ช่วงน้ำขึ้นโทริอิก็จะอยู่กลางน้ำ เวลาน้ำลงถึงจะลงไปเดินดูได้ โทริอิและตัวศาลเจ้านั้นจะมีการทาสีใหม่ทุกๆ 5 หรือ 10 ปี เสาไม้ที่สร้างโทริอิก็จะมีการเปลี่ยนด้วย แต่ไม่รู้กี่ปีเปลี่ยนที ไม้ที่นำมาทำเสาก็ต้องเป็นไม้ต้นเดี่ยวๆ เท่านั้น สาเหตุก็คงเพราะมันทนการกัดกร่อนจากน้ำทะเลได้ดีล่ะมั๊ง ตอนกลางคืนที่นี่ก็จะเปิดไฟสว่างไสว และมีเรือล่องมาลอดโทริอิกันด้วย คงสวยงามน่าดูเชียว เรือที่ใช้ก็เป็นท้องแบนแบบสมัยโบราณ โดยใช้คนพายเรือ เสียดายที่พวกเราไม่มีโอกาสได้เห็น เพราะเย็นๆ ก็ต้องกลับแล้ว


แผ่นป้ายขอพร หรือ Ema ของที่นี่เป็นรูปโทริอิกลางน้ำด้วยอะ ใครอยากได้อะไรก็เขียนขอไป อธิษฐานเฉยๆ เดี๋ยวเจ้าท่านจะลืม เพราะไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร แต่คนขอพรกันเยอะอย่างงี้คงต้องรอคิวกันนานหน่อย กว่าจะได้พรสมใจอะนะ เหอๆๆ


คุณลุงคนลากรถที่นี่คลาสสิกสุดยอด!! นี่ลงทุนวิ่งตามมาถ่ายรูปลุงโดยเฉพาะเลยนะเนี่ย จะถ่ายข้างหน้าก็กลัวแกจะลากรถมาทับเอา เห็นก้มหน้าก้มตาลาก ไม่สนใจใครเลย แต่ลุงแกเท่ได้ใจจริงๆ อะ :D


ขนมรูปใบเมเปิ้ลที่เห็น มีชื่อว่า Momiji-manju เป็นแป้งไส้ต่างๆ เหมือนโดรายากินั่นแหละ แต่ที่เกาะนี้เค้ามีใบเมเปิ้ลสีแดง หรือที่เรียกว่า Momiji เยอะ ขนมของฝากของเค้าก็เลยทำเป็นใบโมมิจิด้วย กิ๊บเก๋ยูเรก้าจริงๆ นอกจากแบบแป้งนิ่มๆ อย่างที่เห็นแล้ว ยังมีแบบที่เอาไปชุบแป้งทอดด้วย เรียกว่า Tempura momiji-manju ส่วนอาหารขึ้นชื่อบนเกาะนี้ต้องเมนูหอยนางรมเลย ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Kaki (ลูกพลับ ก็เรียกว่า Kaki แต่ออกเสียงต่างกัน)


ได้เวลาอำลามิยาจิม่าซะแร้ว ลืมไปเลยว่าวันนี้วันเกิดตัวเอง จะหมดวันแล้วหนิหว่า เหอๆๆๆ แก่แล้วความจำเลอะเลือน ขนาดวันเกิดตัวเองยังเกือบลืม


ขากลับยังไงก็ขอใช้ตั๋ว day pass ที่ซื้อมาให้ได้ ไม่งั้นจะซื้อมาทำไมกันล่ะ เรือข้ามฟากเที่ยวนี้เราเลยเมิน JR หันไปหากิ๊กใหม่ 555

ท้องฟ้า แผ่นน้ำ และตะวัน โอ้วว เจ้าช่างงามจับตาเสียนี่กระไร


แอบเห็นอะไรคุ้นๆ ตาที่ร้านขนมในสถานีรถไฟ นั่นมันข้าวเกรียบมโนราห์ made in Thailand หนิ Go inter ซะด้วย :D


นั่งรถไฟมาเจอดาวที่ Sannomiya วันนี้คุณนายดาวจะพาไปกินบุฟเฟต์ที่ร้าน Sweets Paradise ฉลองวันเกิดฮ่ะ :D


ว้าวว... มุมนี้เค้กเพียบเลย น่ากินทั้งน้านน อันนี้เหมือนจะเป็นเค้กตัวใหม่ของร้านมั๊ง เห็นมีป้ายติดไว้




พวกซุป แซนวิช และสปาเกตตี้ก็มีให้เลือกหลายแบบ (สปาเกตตี้ไข่กุ้ง อร่อยสุด) ข้าวหน้าไข่ โรยสาหร่าย สไตล์ญี่ปุ่นก็มี เครื่องดิ่มก็มีน้ำหวานให้เลือกหลายรสเลย หรือจะเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้ หรือชาก็มีเพียบ ขนมหวานที่นอกเหนือจากเค้กก็มีน้ำแข็งไส หวานเย็น ชื่นใจ ส่วนอันนี้เด็ดเลย เหมาะกับคนชอบช็อกโกแลต Chocolate Fondu


กินอย่างละนิด ละหน่อย จนกองเป็นภูเขาอย่างงี้!!


แล้วก็นั่งรถไฟไปบ้านดาวเช่นเคย แต่ขบวนนี้ มีอั้มเป็นคนขับ :D จะถึง Rokko Island แล้ว กลับไปนอนเอาแรงดีกว่าเรา

Todai-ji, Nara - Kobe

Japan 2007 : Day 11

เช้านี้พวกเราจะยกทีมไปเที่ยว Nara กัน วันนี้ยกทีมไปเที่ยวนาระกันทีมใหญ่ แถมหอบผ้าหอบผ่อนเตรียมไปนอนบ้านดาวซังที่โกเบด้วย


ทีมใหญ่ที่ว่าก็มีสมาชิกดังนี้ เริ่มจากคนอายุมากสุดในแก๊ง พ่อกะแม่ข้าพเจ้าเอง :D แล้วก็มีอั้ม และยูกะ สาวญี่ปุ่นหน้าใส แถมติงต๊องอีกตะหาก ปิ๊กกะแอนนา เพื่อนซี้คนใหม่จากแคนาดา ที่บอกว่าตัวเองหน้าเหมือนแฮรี่ พอตเตอร์ (ตรงไหน 555) นอกจากแอนนาจะซี้กะปิ๊กแล้ว ได้ข่าวว่าซี้กะดาวยิ่งกว่าอีกนะ ;)



แอนนาเคยมานาระหลายหนแล้ว ก็เลยอาสาเป็นไกด์จำเป็นสำหรับทริปนี้ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ดังนั้นแอนนาก็เลยพาพวกเราไปเติมพลังกันก่อน ร้านนี้เป็นร้านข้าวแบบหยอดเหรียญ เหมือนร้านบะหมี่หยอดเหรียญแถวบ้านที่เกียวโตนั่นหละ แต่ร้านนี้ดีอย่างมีข้าวให้เติมฟรี ไม่คิดเงินเพิ่มด้วย :D


เมืองนาระ ห่างจากทางใต้ของเกียวโต 43 กิโลเมตร หรือประมาณ 30 นาที เป็นเมืองสำคัญที่รวบรวมเอาศิลปะ หัตถกรรม วรรณคดี และประเพณีดั้งเดิมของญี่ปุ่นไว้ ก่อนที่นาระจะได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวง ญี่ปุ่นไม่ได้ยึดถือเมืองใดเป็นเมืองหลวงอย่างเป็นหลักแหล่ง โดยจะย้ายเมืองหลวงทุกครั้งเมื่อองค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ ตามความเชื่อในลัทธิชินโต จนเมื่อญี่ปุ่นได้รับเอาพุทธศาสนาเข้ามาเป็นศาสนาประจำชาติ นาระจึงได้สถาปนาเมืองหลวงแห่งแรกของญี่ปุ่น (คล้ายๆ กับสุโขทัยบ้านเรา) เมื่อพระในพุทธศาสนาเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้น ทั้งในด้านการเมืองการปกครอง จักรพรรดิคัมมูจึงทรงสั่งให้ย้ายเมืองหลวงจากนาระไปยังเกียวโต เพื่อหลบเลี่ยงอิทธิพลของพระเหล่านี้ จึงทำให้นาระดำรงสถานภาพเป็นเมืองหลวงอยู่เพียง 75 ปี


วัด Kofuku-ji สร้างเมื่อปี 710 มีพระพุทธรูปที่มีค่ามากประดิษฐานอยู่ในสำนักมรดกแห่งชาติ ใกล้กันนั้นเป็นเจดีย์ห้าชั้น ตั้งอยู่ริมสระน้ำ Sarusawa-ike


ขนมอะไรเอ่ย ใครรู้มั่ง อิอิ เฉลยเลยดีกว่า ขนมนี่ชื่อว่า Shiga-sembe คำว่า shiga แปลว่า กวาง ส่วน sembe คงแปลว่าข้าวเกรียบแบบญี่ปุ่นอะนะ ขนมนี่ก็คือข้าวเกรียบของน้องกวางนั่นเอง มานาระทั้งที ถ้าไม่เจอน้องกวางก็เหมือนมาไม่ถึง เอาขนมไปให้กวางกินกันดีกว่า (ถ้าคนจะกินก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ ลองชิมดูได้ ปิ๊กชิมมาแล้วบอกรสชาติเหมือนกินกระดาษ)


ปิ๊กเอาข้าวเกรียบไปให้กวางกินพักเดียว ก็โดนล้อมไว้หมดโดยแก๊งกวางซ่าที่ไม่กลัวคนเอาซะเลย ซวยแล้ว โดนกวางรุม 5555 สาเหตุที่มีกวางมากมายอยู่ที่นี่ นั่นเพราะว่า ในยุคหนึ่งมีการบูชาเทพเจ้า โดยสัตว์ที่ใช้ในการบูชาก็คือน้องกวางนี่เอง การบูชาของเขาไม่ได้หมายความว่าฆ่ามันนะ แต่เป็นการนำกวางมาปล่อย พอมากเข้ามันก็เริ่มขยายพันธุ์จนเพิ่มจำนวนอย่างที่เห็นทุกวันนี้


วัด Todai-ji เป็นโบราณสถานที่มีชื่อเสียง มีวิหาร Daibutsu-den ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปใหญ่แห่งเมืองนารา และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ตามประวัติกล่าวไว้ว่าในช่วงยุคกลางของนาระ การเพาะปลูกไม่ดี มีโรคระบาด ผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก จักรพรรดิโชมุซึ่งศรัทธาในพุทธศาสนามาก ได้อธิษฐานต่อพระศรีรัตนตรัย ให้ช่วยคุ้มครองประเทศชาติให้อยู่รอด โดยได้สร้างวัดโทไดจิขึ้นที่นครนาระ และโปรดให้สร้างพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ (Daibutsu) ขนาดสูง 16.2 เมตร ไว้ในวิหาร ซึ่งนับว่าเป็นวิหารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ถูกไฟไหม้เสียหายไปถึง 2 ครั้ง วิหารที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นมาใหม่ โดยขนาดลดลงเหลือ 2 ใน 3 ของวิหารดั้งเดิม เสียค่าผ่านประตูแล้วก็เข้าสู่บริเวณตัววัด เป็นลานกว้างและต้นซากุระอย่างที่เห็น เสียดายที่ยังไม่ใช่ช่วงซากุระบาน ไม่งั้นคงสวยกว่านี้แน่ แต่แค่นี้ก็สวยมากแล้วนะเนี่ย


วิหารที่ประดิษฐานพระไดบุตสึ หรือหลวงพ่อโตนั้น ตัววิหารเดิมที่สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิโชมุนั้น มีขนาดใหญ่กว่านี้อีกนะ แต่เกิดแผ่นดินไหว ทำให้ตัววิหารเดิมพังลงไปถึง 2 ครั้ง อาคารที่เราเห็นทุกวันนี้คือการบูรณะครั้งที่ 2


บนเนินเขานี้เป็นที่ตั้งของ Nigatsu-do หมายถึง The Hall of the Second Month เป็นอาคารสำคัญหลังหนึ่งภายในวัดโทไดจิ ตั้งอยู่บนเชิงเขา Wakakusa เป็นที่ประดิษฐานเทวรูปเจ้าแม่กวนอิม 11 หน้า ซึ่งปกติจะจัดให้มีพิธีบวงสรวงขึ้นในเดือนที่ 2 ของปฏิทินตามจันทรคติ น่าเสียดายที่เค้าเก็บเทวรูปไว้ ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชม เลยไม่ได้สักการะเลย จากระเบียงวัดนี้สามารถมองเห็นเมืองนาระข้างล่างได้ไกลสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว



เมืองนาระ ก่อนจะสิ้นแสงตะวัน (อย่างกะชื่อละคร 555) แสงอาทิตย์เริ่มริบหรี่ เช่นเดียวกับพลังงานในร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง ในที่สุดอั้มก็แบตหมดเป็นคนแรก คร่อกกก... ขณะนั่งรถไฟไปโกเบ อั้มก็ชาร์จแบตไปตลอดทาง ส่วนอีกกลุ่มนึงแยกย้ายกันกลับเกียวโตไปแล้ว


ถึงแล้วจ้า เมืองท่าโกเบอันทันสมัย แสงสีศิวิไลซ์โดนใจอั้มยิ่งนัก


แต่ที่ถูกใจกว่ามาก เห็นจะเป็นเนื้อโกเบที่ดาวซังพามาชิมของแท้ ถึงถิ่น จะไม่ถูกใจได้ไง เนื้อย่างโกเบ ที่ใช้วัตถุดิบจากเนื้อวัวพันธุ์ดี เลี้ยงดูอย่างดี ด้วยอาหารชั้นเลิศ แถมย้อมใจให้กินเบียร์ทุกวัน เรียกว่าหมักให้เนื้อนุ่ม ขุนกันเข้าไปตั้งแต่ยังไม่ตาย อั้มดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีราวปาฏิหาริย์ แค่ได้กลิ่นเนื้อย่างก็แทบจะลอยขึ้นสวรรค์ พอได้กินเท่านั้น อั้มก็บ้าไปเลย 5555555555 Kobe Beef ได้กินซะทีเนื้อเทพเนี่ย กินจนพุงกางสมใจอยาก คืนนี้คงนอนฝันดีแน่ๆ