15 May 2008

Asakusa - Akihabara - Shibuya

กว่าJapan 2007 : Day 8

ไปตะลุยโตเกียวกัน แบบวันเดียวเที่ยวให้ทั่วเลยนะ เพราะวันนี้จะมีคนพาเที่ยวเป็นวันสุดท้าย ไกด์ประจำวันนี้ก็ซาโตรุซังคนเดิมนั่นแหละ ประเดิมที่แรกวันนี้ที่ Asakusa เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของโตเกียว เพราะกลางเมืองหลวงแบบนี้ไม่มีที่ไหนจะสะท้อนภาพญี่ปุ่นโบราณได้ดีไปกว่าย่านนี้ ซึ่งเป็นถิ่นที่ตั้งของวัด “เซนโซจิ” หรือ วัดโคมใหญ่ จุดเด่นของวัดก็คือโคมสีแดงอันใหญ่ที่แขวนอยู่ตรงประตูคามินาริมง ใครมาเยือนญี่ปุ่นก็ต้องไปเหยียบวัดนี้ และถ่ายรูปหน้าประตูวัดกันเป็นธรรมเนียม ทางเดินไปวัดก็เต็มไปด้วยร้านรวงบนถนน “นากามิเสะ” อยู่ตามสองข้างทางเดิน วันที่พวกเรามาเป็นวันหยุด คนก็เลยเยอะมากเป็นพิเศษ แต่ปกติก็เยอะอยู่แล้ว



เดินผ่านร้านที่คนต่อแถวยาวๆ เป็นไม่ได้ ต้องขอไปดูมั่งว่าเค้ามีอะไรดี โผล่หน้าไปดูเห็นเขียนป้ายว่า Icecream Sandwich ก็เลยแจ้นไปต่อแถวมั่ง แถวยาว แดดร้อนก็ไม่หวั่น ขอลองกินหน่อยซิว่ามันเป็นยังไง


ได้มาแล้วหน้าตาไอติมเป็นแบบนี้ มีแป้งกรอบๆ ครอบไอติมอยู่อย่างที่เห็น มีไอติมให้เลือกหลายรส อันที่เลือกมากมีรส มันหวาน เกาลัด ชาเขียว และงาดำ อืมมม เป็นอย่างงี้นี่เอง แป้งข้างนอกเป็นแป้งแบบเดียวกะโคนไอติมทั่วๆ ไป แต่ทำเป็นรูปโคมญี่ปุ่น เพราะขายอยู่หน้าวัดโคมใหญ่ เข้าใจคิดนะเนี่ย ส่วนไอติมรสชาติใหม่ไม่เคยกิน แปลก และอร่อยดี


โคมใหญ่หน้าวัดนี่เป็นจุดขายของเค้าเลยหละ ใครมาที่นี่ก็ต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เข้าไปไหว้พระขอพรกันเลยดีกว่า จะได้ไปหาอะไรกินกัน หิวแล้ว


ยังไม่ทันพ้นวัด เจอของกินหน้าตาแปลกอีกแล้ว เป็นมันฝรั่งทำเป็นเกลียวๆ แล้วเอาไปทอด มีผงปรุงรสหลายรสให้เลือกเพื่อเพิ่มรสชาติ ป้ายเค้าเขียนชื่อไว้ว่า Tornado Potato (คิดได้ไงเนี่ย) กินแล้วก็อร่อยดี โรยผงบาร์บีคิว กับผงกะหรี่ รสชาติเค็มปะแล่มๆ แต่ก็อร่อยดีแฮะ ไว้เอาไอเดียไปขายในงานวัดบ้านเรามั่งท่าจะดี :D


แวะกินโซบะสไตล์เอโดะ แถววัดเสร็จแล้ว ก็ขึ้นรถไฟมาที่ Akihabara กันต่อเพื่อไม่ให้เสียเวลา ถ้าหากเครื่องไฟฟ้า และอุปกรณ์ดิจิตอลคือเป้าหมายของคุณล่ะก็ “อากิฮาบาระ” คือคำตอบสุดท้าย ที่นี่จะทำให้ช้อปเพลินจนลืมเวลาได้เป็นวันๆ เลยทีเดียว มีอุปกรณ์ดิจิตอลขายเพียบ ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง กล้องถ่ายรูป ไปจนถึงเครื่องเล่นเกมส์ แถมราคาที่นี่ยังพอจะต่อรองกันได้อีกด้วย วันหยุดแบบนี้ เค้าจะปิดถนนให้คนเดินช้อปปิ้งกันได้เต็มที่ สาวๆ ญี่ปุ่นเค้าก็จะถือโอกาสออกมา Show off กันเต็มที่ อย่าง 2 สาวที่เห็นนี่ แต่งชุด Maid กันมาเลย คือเค้าตั้งใจแต่งมาแข่งกันเพื่อดึงดูดความสนใจกันเลยหละ


จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่ Shibuya กันเลย จะมืดแล้วต้องรีบทำเวลาหน่อย ที่ชิบูย่าผู้คนคึกคักน่าดู คนรอข้ามถนนเยอะมาก อย่างกะมีจลาจลงั้นแหละ


รูปปั้นของ Hachiko ตั้งอยู่ท่ามกลางหนุ่มๆ สาวๆ ที่มานัดพบกันหน้าสถานีรถไฟชิบูย่า ตามตำนานเล่าว่าเจ้า Hachiko มารอรับเจ้านายที่หน้าสถานีชิบูย่าทุกวัน แม้เจ้านายจะไม่อยู่แล้ว มันก็มารออยู่ที่นั่นด้วยความหวังว่าเจ้านายมันจะกลับมาอีก จนหมดลมหายใจ ดังนั้นการนัดพบหน้าสถานีชิบูย่าบริเวณรูปปั้น Hachiko สำหรับหนุ่มสาว จึงมีความหมายไม่ใช่การนัดพบธรรมดา แต่หมายถึงความรักที่เสียสละ และซื่อสัตย์ต่อกันอีกด้วย โอวว ซึ้ง...


ช้อปปิ้งเพลิน จนหิวไส้กิ่ว จะเข้าร้านไหนก็เต็มหมด เพราะได้เวลากินข้าวพอดี ที่ไหนก็คนแน่น ทีแรกจะไปกินซูชิซะหน่อย แต่คิวยาวแบบไม่เห็นอนาคต ในที่สุดก็ต้องตัดสินใจกินร้านไม่ดัง เอาที่มีที่นั่งเป็นใช้ได้ หิวแล้วหนินะ


สุดท้ายก็ได้กิน เพราะร้านนี้มีโต๊ะว่าง แต่ที่คนน้อยสงสัยเพราะเป็นร้านแนวขี้เหล้า อาหารจานเล็กๆ เหมือนเซ่นเจ้า เค้าคงไว้ให้กินเป็นกับแกล้ม แต่เอาวะไม่มีทางเลือก กินมันที่นี่แหละ มาถึงเค้าก็เอาจานมาวาง แถมถ้วยเล็กๆ นั่นใส่หอยลวกมาให้ด้วย กินแล้วเคี้ยวหนึบๆ เค็มๆ เพลินดี ดีกว่าอยู่เปล่าๆ 5555

อาหารที่ซาโตรุสั่งมาให้กิน มีปลาอาจิทอด (เห็นในทีวีเมื่อคืน กำลังอยากกินอยู่เลย) อร่อยดี :D แล้วก็ข้าวคลุกแซลมอนกะเกาลัด โรยหน้าด้วยไข่ปลา จานนี้ก็อร่อยเหมือนกัน ต่อไปเป็น Sashimi Salad ปิดท้ายด้วยจานเด็ด ที่เป็นปลาดิบแล่บางๆ ราดเยลลี่ใสๆ รสชาติเปรี้ยวๆ เค็มๆ ใช้แทนซอส เจ๋งดี อร่อยแทบทุกอย่าง เสียอย่างเดียว กินไม่อิ่ม เพราะทุกอย่างเหมือนเอาไว้กินเล่นไปซะหมด


กินเสร็จ อิ่มก็ไม่อิ่ม แถมปวดหัวตึ้บ เพราะทั้งร้านมันสูบบุหรี่รมควันคนอื่นกันอย่างเมามัน ปิ๊กถึงกับต้องหาซื้อพาราฯ มาระงับอาการด่วน แต่พาราที่นี่เค้าไม่เรียกพาราหรอกนะ รุซังต้องไปซื้อให้ เพราะเราไปซื้อเองคงได้ยาถ่ายพยาธิมากินแหง ยากล่องนี้มีอยู่สิบกว่าเม็ด ราคาคิดเป็นเงินไทยประมาณ 300 กว่าบาท เล่นเอาไอปิ๊กหายป่วยโดยไม่ต้องใช้ยาช่วย แพงสุดยอดเลย บ้านเราแผงนึงไม่กี่สิบบาทเอง เพราะงั้นใครจะไปญี่ปุ่นกรุณาพกที่จำเป็นไปด้วย ไม่งั้นจะเศร้า จริงๆ แล้วปิ๊กก็พกยาไปนะ แต่กินทุกวันแทนข้าวยาเลยหมดไปแล้ว 555


ย้ายทำเลมา Shinjuku ยามราตรี แถวนี้มีแต่ร้านเหล้าและคาราโอเกะแฮะ สงสัยเพราะมืดแล้ว ร้านขายของอื่นๆ คงเริ่มปิด ที่เห็นก็มีแต่พนักงานสาวๆ แต่งตัวแปลกๆ ถือใบปลิวมาหลอกหนุ่มๆ เข้าร้านกัน ตึกแถวนี้ส่วนใหญ่เปิดเป็นคาราโอเกะทั้งแถบ แทบทุกตึกเลย ทั้งร้อง ทั้งเต้น โชว์ลีลากันให้คนข้างนอกดูเต็มที่เลย

รุซังพาเดินเล่นตามซอกซอยในย่านนี้ เดินไปซักพัก รุซังชวนกลับหน้าตาเฉย ไอ้เราก็งงดิ ไรของมันวะ มันก็ไม่ยอมบอกด้วยนะ จนในที่สุดก็ยอมเดินเข้าไปอีกหน่อย แล้วก็ชวนไปเดินซอยอื่น จนถามไดความว่าซอยนี้ซอยยากูซ่า อันตราย เดี๋ยวมันยิงกัน อ่อ อย่างงี้นี่เอง แล้วก็ไม่บอกแต่แรก จากซอยยากูซ่า พวกเราก็ไปเสียเงินฟรีที่ร้านเกมส์ เพราะนึกว่าเล่นแล้วจะได้เงินคืน แต่ไม่ได้เพราะมันเป็นร้านเกมส์ ไม่ใช่คาสิโน ไม่มีการเอามาแลกเงินคืน เสียค่าโง่เล่นเกมส์จนดึก รถไฟหมดซะแล้ว ทำไงล่ะทีนี้



ขากลับจำต้องนั่งแท็กซี่สถานเดียว รุซังเลยบอกให้แท็กซี่พาชมเมืองอีกหน่อยก่อนกลับ ผ่านย่าน Roppongi และ Tokyo Tower ด้วย แต่เค้าปิดไฟไปแล้วเลยไม่เห็นอะไร เศร้าเลย ถึงโรงแรมก็ต้องจ่ายค่าแท็กซี่อานเลย ค่ามิเตอร์กระฉูดมาก 4,900 เยนแน่ะ!! เครียดเลย ปวดหัวตึ๊บ ต้องขอยาญี่ปุ่นของปิ๊กกินมั่งแล้ว ไม่น่าเข้าร้านเกมส์เล้ย... เสียค่าโง่ 2 ต่อ เข็ดเลยฮะ T__T

No comments: