15 May 2008

Kinkaku-ji - Ginkaku-ji

Japan 2007 : Day 6

ไม่รู้ว่าวันนี้วันพระรึเปล่า แต่เราจะเข้าวัดกัน เป้าหมายของเราวันนี้คือวัดเงิน และวัดทอง แล้วเราก็เดินทางโดยรถเมล์ แบบซื้อตั๋วรอบเดียว เที่ยวทั่วเมืองเหมือนเคย :D วัดแรกที่จะประเดิมวันนี้ ก็คือ Kinkakuji และก็เช่นเคย ที่นี่ก็เป็นมรดกโลกอีกแห่งนึงในเกียวโต ที่เราๆ เรียกว่า Kinkakuji นั้น จริงๆ แล้ววัดนี้มีอีกชื่อนึง ชื่อว่า Rokuonji ส่วนที่เรียกกันว่า Kinkakuji นั้นก็มาจากวิหารสีทองที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในวัดนั่นเอง ( คำว่า Kin แปลว่า ทอง ส่วน Kinkaku แปลว่า ทองคำเปลว ส่วน ji แปลว่าวัด )



ซื้อบัตรผ่านประตูเรียบร้อย เสียไปคนละ 400 เยน แล้วเค้าก็ให้ไอ้นี่มา... อะไรเนี่ย?! อ่อ สงสัยเป็นยันตร์กันผี ได้มาแล้วให้แปะไว้ที่หน้าผผากแบบนี้ แล้วกระโดดเข้าวัด 555555 ไม่ใช่แล้ว!! นั่นมันหนังจีน นี่ก็เป็นหน้าตาบัตรผ่านประตูของเค้าหละ แปลกดี ไม่เหมือนที่อื่น งั้นเราไปข้างในกันดีกว่า ไปดูกันว่าวิหารทองที่เคยเห็นแต่ในรูป ของจริงจะสวยขนาดไหน Let's go!!





ว้าววว... เคยเห็นในรูปก็ว่าสวยแล้วนะ แต่พอมาเห็นด้วยตาแล้วถึงรู้ว่ามันสวยอย่างงี้นี่เอง ไม่สามารถบรรยายด้วยภาพ หรือคำพูดได้ ของแบบนี้ต้องไปเห็นเอง เพราะบรรยากาศรอบๆ ด้วยที่ทำให้ตัววิหารทองนี้สวยเด่นเป็นสง่า สะท้อนกับผืนน้ำเป็นสีทองอร่าม สวยจริงๆ แฮะ เดิมทีอาคารหลังนี้ไม่ได้ใช้เป็นวิหาร แต่เป็นที่พักตากอากาศของท่านโชกุน Ashikaga Yoshimitsu คุ้นๆ ป่าว ก็ท่านโชกุนในเรื่องอิคคิวซังไง แต่หลังจากท่านโชกุนตายไปแล้ว ลูกชายเค้าก็เลยยกที่ให้วัด ที่นี่ก็เลยกลายเป็นวิหารของวัดไปโดยปริยาย อ่อ ลืมบอกไปว่าตอนหลังท่านโชกุนเลื่อมใสในพุทธศาสนามากเลยบวชเป็นพระ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Rokuon ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อวัด Rokuonji นั่นเอง



คินคาคุจินี้มี 3 ชั้น ชั้นล่างเป็นห้องโถงแบบขุนนางสมัยเฮอัน ชั้นที่ 2 เป็นแบบซามูไร ชั้นสูงสุดเป็นหอปฏิบัติธรรมของพุทธ นิกายเซน ชั้น 2 และ 3 ใช้แผ่นทองปิดโดยรอบ บนยอดวิหารประดับนกโฮโอสัมฤทธิ์เด่นตระหง่าน วิหารนี้มีการผสมผสานศิลปะหลายแขนงเข้าไว้อย่างกลมกลืน ซึ่งมาจากวัฒนธรรมทั้งจีน ญี่ปุ่น และอินเดีย นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่ทำให้ผู้คนยุคสมัยนั้นต้องตะลึง และหลงใหลในความงามไปตามๆ กัน ส่วนนกโฮโอ เป็นนกในจินตนาการ มักสร้างประดับสถานที่สำคัญๆ เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอมตะ คงจะเหมือนกันนกฟีนิกซ์ละมั๊ง



คินคาคุจิรอดพ้นจากการถล่มทางอากาศในช่วงสงครามโลก แต่กลับถูกลอบวางเพลิงจนมอดไหม้เป็นจุณ โดยเฌรใบ้ลูกวัด หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปี คงไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกของชาวญี่ปุ่นเมื่อสูญเสียโบราณสถานล้ำค่าไปอย่างน่าเสียดาย ว่ากันว่าเณรรูปนั้นรัก หลงใหล เทิดทูนความงามของคินคาคุจิอย่างสุดหัวใจ จนหมกมุ่น เมื่อเห็นมีคนรักและศรัทธากันมากมาย ตัวเองกลับรู้สึกห่างเหิน ถูกทอดทิ้ง และถูกดูถูกดูแคลนความพิการอัปลักษณ์ของตนเอง โดยความงามเจิดจรัสของคินคาคุจิ ความรู้สึกเช่นนี้สุมอยู่ในอกวันแล้ววันเล่า จนระเบิดออกมาโดยการวางเพลิง ชายผู้นี้ถูกจับและติดคุกไปตามระเบียบ แต่เมื่อพ้นโทษออกมาก็เสียชีวิตด้วยวัณโรคในวัย 27 ปี หลังจากเพลิงไหม้ไปแล้ว 5 ปี รัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้สร้างคินคาคุจิขึ้นมาใหม่ เป็นหลังที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้

จบเรื่องวิหารทองแล้ว ก็ได้เวลาไปวิหารเงินกันต่อ บันไดทางลงจากวัด ที่นี่เค้า One-way นะ ทางเข้าห้ามออก ทางออกห้ามเข้า ดีเหมือนกันไม่วุ่นวายดี



ออกจากวัดมา มองเห็นภูเขาที่มีตัวอักษรภาษาจีนอยู่ หลายวันมานี้เห็นแต่ในแผนที่ เพิ่งเห็นแจ่มๆ วันนี้แหละ ตัวอักษรพวกนี้มีไว้ทำไม ถ้าอยากรู้เดี๋ยวเล่าให้ฟัง...

ช่วงวันที่ 13-16 สิงหาคม ของทุกปี เค้าจะมีการจัดพิธีทางศาสนาขึ้น ตามความเชื่อที่ว่าทุกๆ ปี วิญญาณบรรพบุรุษจะกลับมาบ้านในช่วงนี้ ดังนั้นเพื่อต้อนรับวิญญาณผู้ล่วงลับไปแล้วกลับบ้าน ตามประเพณีโอบ้ง ก็จะมีการจุดไฟต้อนรับที่หน้าประตูบ้าน และมีของเซ่นไว้วางหน้าหิ้งพระ หรือมีการละเล่นต่างๆ เช่น รำวงบงโอโดริ และการจุดดอกไม้ไฟ ส่วนวันสุดท้ายของเทศกาลก็จะจุดไฟที่ตัวอักษรภาพบนภูเขาที่เราเห็นนั้น เพื่อเป็นการส่งวิญญาณกลับสู่ภพภูมิของตัวเองยังไงล่ะ ดังนั้นในช่วงนี้ของปีคนญี่ปุ่นเค้าจะกลับบ้านไปไหว้บรรพบุรุษกัน

นอกจากการจุดไฟเพื่อส่งวิญญาณแล้ว ประเพณี Daimonji Bonfire หรือ Daimonji Gozan Okuribi ยังเป็นสัญลักาณ์การสิ้นสุดหน้าร้อนของญี่ปุ่นด้วย เวลาจุดไฟ เค้าจะจุดเรียงจากตัว Dai คืออันที่อยู่ที่คินคาคุจินี่เป็นอันแรก ตามด้วยอันที่เป็นรูปเรือ แล้วเรียงไปเรื่อยๆ จนครบ โดยระยะเวลาการเริ่มจะเหลื่อมๆ กัน นอกจากนี้คนโบราณเค้าเชื่อว่า ถ้าดื่มชาหรือซุปที่มีเงาสะท้อนของไฟโอคุริบิอยู่ในถ้วยแล้ว จะช่วยให้สุขภาพดีอีกด้วย ส่วนประเพณีจุดไฟแบบนี้คาดว่าที่เมืองอื่นคงมี แต่ที่เกียวโตรู้สึกว่าจะมีชื่อเสียงมากที่สุด





กว่าน้าเป้จะเลคเชอร์เสร็จ ข้าวปุ้นก็หิวพอดี เราเลยแวะกินข้าวกันที่ร้านเล็กๆ หน้าวัดนี่แหละ มีเมนูเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมรูปประกอบด้วยแฮะ รอดตายแล้วเรา :D



อิ่มข้าวแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางต่อเพื่อไป Ginkakuji กัน นั่งรถเมล์จากวัดทองไปถึงวัดเงิน แล้วเดินต่ออีกนิดก็ถึงวัด ระหว่างทางก็แอบแวะช้อปปิ้งกันเรื่อยเปื่อย คนญี่ปุ่นเค้าชอบดอกไม้เป็นชีวิตจิตใจเลยจริงๆ ดูซิขนาดดอกไม้ต้นเล็กต้นน้อยก็ยังอุตส่าห์ปลูก แถมเอามาตั้งใส่กะบะวางขายหน้าบ้านด้วย น่ารักเชียว




เดินเพลินจนถึงถึงหน้าวัดแบบไม่รู้ตัว ที่นี่ก็เป็นมรดกโลกอีกเช่นกันค่ะท่านผู้ชม ทางเดินเข้าไปยังบริเวณวิหารเงิน ดูเหมือนทางเข้าเขาวงกตเลย :D



สวนที่เห็นนี้ มีชื่อว่า Sea of Silver Sand อันที่เป็นเจดีย์ทรายไกลๆ นั่น เป็นสัญลักษณ์แทนภูเขาไฟฟูจิน่ะเอง ทรายที่เห็นเนี่ย เวลากลางคืนจะสะท้อนแสงจันทร์เป็นสีเงินระยิบระยับ สมกับชื่อวัดเงินจริงๆ (อยากเห็นตอนกลางคืนมั่งจัง แต่ 5 โมงเค้าก็ปิดแล้ว จะเห็นได้ไงล่ะเนี่ย แต่คงสวยแบบวังเวงๆ น่ากลัวพิลึก)




อากาศที่นี่คงเย็นตลอดปี เลยทำให้มีมอสนานาชนิดขึ้นเยอะแยะไปหมด นี่เค้าจัดมาใส่กะบะไว้ใหดูกันจะๆ ว่ามีหลากหลายขนาดไหน



Ginkakuji หรือ วิหารเงิน ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่โชกุน Yoshimitsu โดยโชกุน Yoshimasa ผู้เป็นหลาน จึงมีลักษณะคล้ายกับ Kinkakuji โดยแรกเริ่มเดิมทีก็ตั้งใจจะทำเป็นสีเงินเปล่งประกาย แต่สุดท้ายไม่ได้ทำ เพราะความขัดแย้งภายใน แถมพอท่านโชกุนตายแล้วคนในครอบครัวก็ยกที่ให้วัดอีกตามเคย อาคารบางหลังก็ยังถูกทำลายลง เหลือแต่ตัววิหารเงิน กับ Tougudo อาคารอีกหลังซึ่งมีห้องที่ใช้ในพิธีชงชาของญี่ปุ่นที่เก่าแก่ที่สุด และเป็น National Treaury ของประเทศญี่ปุ่นด้วย



มุมมองจากจุดชมวิวบนเขา จะเห็นวิหารเงิน สวนทราย และ Togu-do



เดินมาถึงร้านค้าหน้าวัด เห็นมีน้ำอะไรไม่รู้ตั้งอยู่ แล้วข้าวปุ้นก็บอกว่า... น้ำปังคุงหนิ!!! ไอ้เราก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย น้ำอะไรหว่า น้ำปังคุงเนี่ย เลยเดินเข้าไปดูมั่ง ข้าวปุ้นสนอกสนใจน่าดู เลยบอกคนขายว่าขอขวดนึง แต่ให้เค้าเปิดให้ด้วย เค้าบอกว่ามันชื่อ Ramune แม่บอกมันคือน้ำมะเน็ตสมัยก่อนน่ะแหละ (ไม่รู้จักอะ แต่เข้าใจว่าคือน้ำอัดลมน่ะแหละ) แม่ค้าคนสวยก็เลยมาสาธิตให้ดู ก็แค่ค้อนไม้นั่นน่ะตอกเพื่อเปิดฝา ลองชิมแล้วรสชาติเหมือนคิกคาปู้ ก็น้ำอัดลมธรรมดานี่แหละ แต่วิธีกินแปลกดี ข้างในคอขวดมีลูกแก้วด้วยนะ เวลายกดื่มมีเสียงกลุกๆ ด้วย





หลังจากเดินเตร็ดเตร่ซักพัก ก็ได้เวลากลับ ก่อนกลับถ้ายังไม่มืด ก็จะแวะอีกที่นึง ยังพอมีแสงอยู่ เลยตัดสินใจแวะที่นี่หละ Kyoto Museum อิอิ แต่วัตถุประสงค์ไม่ใช่ที่นี่ แต่เป็น... เสาสีแดงหน้าศาลเจ้า Heian น่ะเอง เสาแบบนี้เค้าเรียกว่า Torii (โทริอิ) มักตั้งอยู่ตามหน้าศาลเจ้า เปรียบเสมือนประตูศาลนั่นเอง โทริอิของศาลเจ้าเฮอัน เป็นโทริอิที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สูงถึง 4.2 เมตร ความกว้างของเสาอันบนสุด กว้างถึง 33.9 เมตรเลยทีเดียว ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย จะถ่ายคู่ก็ลำบากอีก เพราะเก็บไม่หมด พ่อกะแม่นั่งคอยที่สวนสาธารณะเพราะขี้เกียจเดิน แล้วจะหาเหยื่อที่ไหนมาถ่ายให้ดีเนี่ย



ฮ่า... หาเหยื่อได้แล้ว แต่ดันมีรถเมล์มาร่วมวงด้วย จะถ่ายซ่อมก็แดดจะหมดแล้ว แถมแบตกล้องก็หมดตามแดดไปอีกตะหาก เฮ้อ ช่างเหอะ ไหนๆ ก็ได้เห็นของจริงแล้วหนินะ กลับบ้านดีกว่าเรา...

No comments: