15 May 2008

Tokyo DisneySea - Tokyo Tower

Japan 2007 : Day 9

วันนี้ฟ้าฝนไม่เป็นใจเอาซะเลย ตามแพลนว่าจะไปเที่ยว DisneySea สวนสนุกเปิดใหม่ของดิสนีย์ แล้วฝนดันมาตกแบบนี้เอาไงกันดีเนี่ย ทีแรก 2 สาวถอดใจไปแล้ว กะว่าจะเดินช้อปปิ้งในเมืองแทน แต่อั้มไม่ยอม ยังไงก็จะไปให้ได้ เอาวะ!! ไปก็ไป นั่งรถไฟ JR มาลงที่ Maihama จากนั้นก็ต้องมาต่อรถเข้าไปอีกที โดยสามารถไปได้ 2 ทาง ทั้งรถบัสมิกกี้เมาส์ และรถไฟ Disney Line ซึ่งเราจะนั่งรถไฟไป เพราะสะดวกกว่า


ตั๋วแบบ prepaid card ของรถไฟใต้ดินก็ใช้กับรถไฟ Disney Line ได้ด้วยนะ ส่วนตั๋วแบบ Day Passes มีขายตั้งแต่แบบวันเดียว ไปถึงแบบ 4 วัน เลือกลายเป็นตัวการ์ตูนที่ชอบได้ด้วย แต่เราไม่ได้ใช้แบบนี้หรอก เพราะใช้ไม่คุ้ม


รถไฟของ Disney Line เจาะหน้าต่างเป็นมิกกี้เมาส์ ภายในตกแต่ง window show ด้วยตัวการ์ตูนดิสนีย์ทุกโบกี้ แต่ละขบวนก็จะมีสีที่ต่างกันด้วย มองออกจากหน้าต่างรูป Mickey Mouse ก็เห็น Tokyo Disney Land อยู่ลิบๆ ขนาดที่จับยังเป็น Mickey จะน่ารักไปถึงไหนเนี่ย รถไฟขบวนนี้วิ่งวน แบบ one way ขากลับดันไป ถ่ายรูปไว้เองแท้ๆ ดันนึกว่าวนกลับทางเก่า นั่งเลยสถานีซะงั้น ต้องวนกลับมาอีกรอบ แหะๆ



พอเข้ามาถึง DisneySea แล้ว ก็ไปซื้อตั๋วกันเลย ช่องขายตั๋วคนไม่เยอะเท่าไหร่ ไม่ต้องรอคิวนาน :D บัตรผ่านประตูแบบ One-day passport ของผู้ใหญ่ 5,800 เยน เด็กคิดครึ่งราคา แต่ถ้าซื้อบัตรหลัง 6 โมงเย็น จะถูกลงอีกครึ่งนึงมั๊ง (ถ้าจำไม่ผิด) เปิดให้บริการตั้งแต่ 9 โมง - 4 ทุ่ม


เข้ามาข้างในแล้ว ฝนยังตกเป็นละอองตลอดเวลา ลมก็แรง ร่มที่อั้มเอามาด้วยก็เอาไม่อยู่ โดนลมแรงหน่อยเตลิดเปิดเปิงจนจะพังแล้ว เลยจำใจต้องไปซื้อเสื้อฝนใส่กันคนละตัว และความหิวมาเยือน ก็ต้องหาอะไรลงท้องกันก่อน เดี๋ยวไม่มีแรงเดิน เจอร้านแรก คนไม่เยอะด้วย ก็กินมันซะที่นี่หละ ร้านนี้มีอาหารให้เลือกไม่เยอะ แพงก็แพง แต่ภาวะจำยอม ทำไงได้ ถ้าจะเลือกกินอย่างอื่นก็ต้องเดินไปอีก ฝนตกๆ อย่างงี้ ไม่เรื่องมากละ มีรไรก็กินหมดหละ มีอยู่แค่นี้ กินกัน 3 คน เอาเหอะประทังชีวิตไปก่อน ก็มันแพงหนิ แต่ก็อร่อยดีนะ หรือเพราะหิวก็ไม่รู้


กินอิ่มละ จะเล่าความเป็นมาของ DisneySea ให้ฟัง DisneySea เป็นโครงการที่เกิดขึ้นครั้งแรกในส่วนต่อขยายของ Tokyo Disney Land เมื่อราวปี 2001 นอกจากจะเป็นสวนสนุกรูปแบบใหม่ของดิสนีย์แล้ว ยังมี shopping mall ที่ติดอันดับต้นๆ ของห้างสรรพสินค้าที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น รถไฟสายดิสนีย์ และโรงแรม 5 ดาว อีก 5 แห่งถูกเนรมิตมารองรับลูกค้าจากทั่วโลก พื้นที่ว่างบริเวณริมอ่าวโตเกียวข้างๆ ดิสนีย์แลนด์ จากเดิมที่ไม่มีอะไร ถูกพัฒนาเป็น complex ขนาดใหญ่ และใช้ชื่อใหม่ว่า Tokyo Disney Resort ทุกวันนี้ Tokyo Disney Land ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของ Disney Resort สวนสนุก "Disney Land" นั้นมีอยู่หลายที่ ทั้งอเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และฮ่องกง ทั้งหมดมีรูปแบบที่คล้ายกันทั่วโลก แต่สวนสนุกภายใต้ชื่อ "DisneySea" มีอยู่แห่งเดียวในโลก คือที่โตเกียวนี่เท่านั้น

การวางผังภายใน DisneySea แบ่งออกเป็นเมืองต่างๆ ที่สร้างมาจากเนื้อเรื่องของการ์ตูนวอลท์ดิสนีย์ เช่น Mermaid Lagoon จาก Little Mermaid หรือ Arabian Coast จาก Aladdin ยังมี American Waterfront ซึ่งเป็นอ่าวจอดเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่, Merditerranean Harbor สไตล์เวนิส, Lost River Delta ป่าเขตร้อนในอเมริกากลางจาก Indiana Jones เป็นต้น


ความแตกต่างของ Disney Land กับ DisneySea นั้น DisneySea จะเน้นเครื่องเล่นในแนวผจญภัยมากกว่า แฟนตาซี ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่า โดยเฉพาะร้านอาหารภายใน DisneySea จะค่อนข้างพิถีพิถันเรื่องรสชาติ และความหลากหลายเป็นพิเศษ และราคาก็พอๆ กับค่าครองชีพในโตเกียว คนญี่ปุ่นบางคนยอมซื้อตั๋วพาสปอร์ต DisneySea แบบเข้าได้ไม่จำกัดครั้งใน 1 ปี เพียงเพื่อเข้าไปจิบกาแฟตอนบ่ายๆ หรือไปดินเนอร์ช่วงวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ก็มี

จุดเด่นๆ ในแต่ละโซนก็จะมีมากมายแตกต่างกันไป โซนแรกที่เข้าไปเจอ จะเป็น Mediterranean Harbor โซนนี้ไม่เครื่องเล่นอะไร แต่จะมีร้านอาหาร โรงแรม ร้านขายสินค้าดิสนีย์ นอกนั้นก็จะเป็นท่าเรือ Transit Steamer Line เรือกลไฟที่จะพาล่องลำน้ำไปจนถึงโซน Lost River Delta อีกจุดนึงที่น่าสนใจก็จะเป็น Venetian Gondolas เรือกอนโดล่าล่องเอื้อยๆ โรแมนติกสไตล์เวนิส


อันสุดท้ายเป็น Fortress Explorations บริเวณนี้สร้างเป็นป้อมปราการสมัย Renaissance มีห้องแสดงการทดลองและอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ในสมัยก่อน ที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นในยุคนั้น เรียกว่าเป็นโซนที่เกี่ยวกับการสำรวจและทดลอง ห้องจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับดาราศาสตร์ก็มี ส่วนด้านหน้าของป้อมก็จะเป็นท่าเรือ มีเรือโจรสลัดเหมือนในหนังเรื่อง Pirate of the Caribian จอดเทียบท่าอยู่ สามารถเข้าไปเดินเล่นบนเรือได้ อ้าวนี่ไง!! กัปตันปิ๊ก สแปโรว์ กำลังส่องหาสมบัติอยู่ 5555


ถัดจาก Mediterranean Harbor ก็เป็น American Waterfront ในโซนนี้จะเป็นธีมของเมืองใหญ่แบบตะวันตก มีการดีไซน์ร้านอาหาร และห้างร้านต่างๆ เป็นสไตล์อเมริกันยุคก่อน โซนนี้มีของกินเยอะมากๆ แต่เพิ่งมารู้ทีหลัง โธ่...กรรม ส่วนเครื่องเล่นเด็ดๆ ของโซนนี้ก็ต้องเจ้านี้เลย เสียงกรี๊ดดังลั่นสวนสนุก มาจากไอ้เจ้านี่หลายรอบมาก มันคือ Tower of Terror นั่นเอง

Tower of Terror เป็นอาคารสูงที่จำลองว่าเป็นโรงแรมร้างเก่าแก่ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวลึกลับ และลี้ลับ สยองขวัญสั่นประสาท กรี๊ดดดด น่ากัววว ไม่เล่นดีกว่า ปล่อยอั้มกะปิ๊กไปเล่นกัน 2 คน เค้าเดินเล่นรออยู่แถวนี้แหละ


สิ่งน่าสนใจอีกอย่างสำหรับโซนนี้ก็คือ Big City Vehicles รถยนต์แบบคลาสสิกคันใหญ่ๆ ลักษณะคล้ายที่เห็นในรูปนี้ แต่จุผู้โดยสารได้หลายคน ซึ่งจะขับพาเที่ยวชมบรรยากาศในโซนนี้ มีทั้งแบบ One-way คือนั่งไปจนสุดทาง แล้วเดินกลับเอง กับแบบ Round-trip คือขับพาชมโดยรอบ แล้วกลับมาส่งจุดเดิม อันนี้เหมาะมากสำหรับคนอยากเที่ยวแต่ไม่อยากเดิน :D โซนนี้ก็มีจุดลงเรือ Steamer Line เช่นเดียวกับโซน Mediterranean แต่ต่างกันที่เรือจากจุดนี้จะล่องชมบรรยากาศโดยรอบสวนสนุก แบบ non-stop เลย นอกจากเรือแล้วก็มี Electric Railway ในบรรยากาศของต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งจะแล่นไปจอดที่ Port Discover โซนถัดไปที่เราจะไปกัน

ที่ Port Discovery ก็จะเป็นธีมเกี่ยวกับลมฟ้าอากาศ มีเครื่องวัดแรงลมที่หมุนติ้วอยู่ตลอดเวลา เครื่องเล่นทีเด็ด คือเจ้า StormRider ก็จะเป็น virtual simulator ที่เกี่ยวกับลม-ฝน-พายุ อะไรประมาณนี้ จาก Port Discovery นี้ ก็สามารถนั่ง Electric Railway กลับไปที่ American Waterfront ได้ด้วย


Aquatopia ก็เป็นเครื่องเล่นที่อยู่ในสระน้ำวน ให้เรานั่งเรือยางผ่านกระแสน้ำวน ที่หมุนไปมา หลบหิน และน้ำพุที่พวยพุ่งขึ้นมาจากน้ำ ก็ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่นะอันนี้ ทางเข้าแยกเป็น 2 ฝั่ง ต่างกันตรงที่หมุนคนละแบบกันเท่านั้นเอง จุดเด่นของร้านอาหารในโซนนี้คือ Horizon Bay Restaurant ซึ่งเป็นที่เดียวใน DisneySea ที่สามารถกินข้าวร่วมโต๊ะกับเหล่าตัวการ์ตูนของดิสนีย์ได้อย่างใกล้ชิด

จาก Port Discovery มาที่ Mysterious Island ตรงกลางสร้างเป็นเทือกเขา Prometheus ที่มีภูเขาไฟที่ระเบิดได้จริง มีควันและไฟพุ่งจากปล่องภูเขาไฟออกมาเป็นระยะๆ สร้างได้คล้ายของจริงมาก เพราะ ตอนที่ระเบิดนั้นขนาดอยู่ไกลจากภูเขาไฟ ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนและแรงสั่นสะเทือน เจ๋งมากๆ ใต้ภูเขาไฟก็มีเครื่องเล่นรอเราอยู่ ชื่อว่า Journey to the Center of the Earth คิวยาวมากๆ แต่ยังดีมี Fastpass ให้จองก่อนแล้วมาเล่นทีหลังได้ เป็นเครื่องเล่นหวาดเสียวที่นั่งผ่านถ้ำมากมาย และดำดิ่งไปสู่ใจกลางของโลกด้วยความเร็วสูง หากเดินผ่านไปมาก็จะได้ยินเสียงหวีดร้องของผู้เล่นผ่านออกมาจากกลางหุบเขา เนื่องจากกำลังดิ่งลงสู่ใจกลางโลกแล้ว เครื่องเล่นนี้คิวยาวมาก และยาวตลอด ต้องรอไม่ต่ำกว่า 45 นาที ถ้าไม่ใช้ Fastpass ก็รอกันจนเบื่อเลยหละ


20,000 Leagues Under the Sea อีกหนึ่งเครื่องเล่นที่คิวยาวไม่แพ้กัน โดยธีมของมันก็มาจากนวนิยายสุดคลาสสิกของจูลส์ เวิร์นส์ เรื่องใต้ทะเล 20,000 โยชน์ ที่ใช้เรือดำน้ำ Nautilus ของกัปตัน Nemo ลงไปสำรวจใต้ทะเลลึก เพื่อค้นหาความอัศจรรย์โลกใต้สมุทร ระหว่างเข้าคิวรอ ก็จะมีดิสเพลย์นั่นนี่ ตามธีมของเครื่องเล่นนั้นๆ ให้ดูเป็นระยะๆ เวลารอจะได้ไม่เบื่อ ก็ดีเหมือนกัน


ถัดจาก Mysterious Island ก็เป็น Mermaid Lagoon โซนพิเศษสำหรับน้องๆ หนูๆ ทั้งหลายโดยเฉพาะ ธีมโดยรวมจำลองโลกใต้บาดาลที่เต็มไปด้วยสัตว์น้ำ สาหร่าย ปะการังอะไรประมาณนั้น ส่วนที่เห็นในรูปเป็นส่วนของ Triton's Kingdom (ไม่ใช่ Triumph Kingdom นะ) ข้างในเป็นอาณาจักรใต้สมุทรเหมือนที่เคยเห็นในการ์ตูน เครื่องเล่นแบบ indoor ในนี้น่าจะเหมาะกับเด็กเล็ก เพราะเห็นมีแต่รถเข็นเด็กจอดไว้ข้างนอกเต็มไปหมด คาดว่าคงพาคุณลูกทั้งหลายมาเล่นของเล่นกันในนี้ (เป็นเธคสำหรับเด็กดีๆ นี่เอง 555)

ด้านหน้า Triton's Kingdom มีเครื่องเล่น Outdoor อยู่ 2-3 อย่าง

  • Scuttle's Scooters เครื่องเล่นเด็กๆ ทั่วไปไม่ตื่นเต้น
  • Flounder's Flying Fish Coaster รางสไลเดอร์คดเคี้ยววกไปวนมาสำหรับเด็กเช่นกัน
  • Ariel's Greeting Grotto ถ่ายรูปกับเงือกน้อย Ariel จาก Little Mermaid


เข้าสู่โซน Arabian Coast ซึ่งตกแต่งได้สวยที่สุดโซนนึง เหมือนได้ไปเยือนดินแดนตะวันออกกลางจริงๆ เลย สิ่งที่ไม่ควรพลาดสำหรับโซนนี้ คือ Sinbad's Seven Voyages, The Magic Lamp Theater และ Caravan Carousel ซึ่งเป็นม้าหมุนรูปยักษ์จินนี่ และตัวการ์ตูนอื่นๆ จากเรื่อง Aladdin ภายในโซนนี้ มีคนรอคิวชม The Magic Lamp Theater ซึ่งเป็นการแสดงอันตระการตาที่ใช้ นักแสดง พร้อมกับเทคนิคที่ไม่มีที่ไหนใช้มาก่อน ประกอบกับดนตรีอันไพเราะ และแน่นอนว่ายักษ์จินนี ของ อาลาดิน ก็อยู่ที่นี่


ล่องเรือชมการผจญภัยของ ซินแบด กับ 7 ย่านทะเล (Sinbad's 7 Voyages) เป็นการนั่งเรือชมโลกอาหรับราตรีที่ซินแบดล่องผ่าน ไปยังดินแดนที่ยังไม่มีใครค้นพบมาก่อน หุ่นที่นี่เค้าทำให้มันขยับไปมาได้ด้วยนะ สวยดี เจ๋งด้วย อันที่เป็นคนก็กะพริบตาได้ด้วย แล้วเราก็เดินทางกลับมาได้อย่างปลอดภัย ขอบใจนะซินแบด :D


เข้าสู่โซนสุดท้าย Lost River Delta มีธีมหลักเป็นป่ามีเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง และกลิ่นอายของอารยธรรมโบราณ อย่างปิรามิดจำลองของชนเผ่ามายา ส่วนเครื่องเล่นที่โดดเด่นในโซนนี้ ได้แก่ Raging Spirits ผจญภัยไปกับการล่องแก่งไม้ที่คดเคี้ยว แถมยังมีตีลังกา 360 องศาด้วย งานนี้ขอบาย เชิญอั้ม ปิ๊กตามสบายเลย แหะๆ เครื่องเล่นอีกอันที่เป็นไฮไลท์ก็คือ Indiana Jones Adventure : Temple of the Crystal Skull ผจญภัยกับอินเดียน่า โจนส์ด้วยรถจี๊ปคันใหญ่ เข้าไปในถ้ำลึกลับ มีอะไรให้ตื่นเต้น ลุ้นระทึกไปตลอดทางเชียวหละ


เฮ้อ... เหนื่อยนะเนี่ย ที่เล่ามาก็มีเฉพาะเครื่องเล่นที่ไปเล่นมาแล้ว บางอย่างที่ไม่ได้เล่นก็ข้ามๆ ไป (นี่ขนาดข้ามแล้วนะ) อย่างพวกโชว์กับพาเหรดนี่ ไม่ได้ดูเลย ไม่มีเวลา พอเลิกเล่นมันก็ค่ำพอดี ยังพอมีเวลาเดินเที่ยว ถ่ายรูปเล่นกันอีกหน่อย แล้วแวะซื้อของที่ระลึกจากดิสนีย์ก่อนกลับ จากนั้นก็ได้เวลา บ๊าย บาย DisneySea กันซะที



มาต่อกันที่ Roppongi Hill อาคารสูงซึ่งเป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้า และร้านอาหารมากมาย และยังเป็นจุดชมวิวยอดฮิต ที่สามารถมองเห็นทิวทิศน์ของเมืองโตเกียวในมุมสูงได้อีกด้วย เห็น Tokyo Tower อยู่ห่างไกลอันเท่าไม้จิ้มฟัน มันยังไม่สะใจเจ๊ ขอใกล้ชิดกว่านี้ได้มั้ยเนี่ย ว่าแล้วพวกเราก็เดินทางต่อ ขยับเข้าไปใกล้อีกนิด อีกนิด และอีกนิด จนมาอยู่เบื้องล่างของ Tokyo Tower กันเลย แบบนี้ดิ ถึงจะสะจายย เสียอย่างเดียวไม่ได้ขึ้นไปดูวิวข้างบนหอคอย เพราะหมดเวลาทำการไปแล้ว มาดึกไปหน่อย แต่ได้ใกล้ขนาดนี้ก็ดีใจแล้วหละ


โตเกียวทาวเวอร์ สร้างขึ้นเมื่อปี 1958 ด้วยความสูงถึง 333 เมตร มีจุดชมวิวของ 2 จุด จุดแรก อยู่ที่ความสูง 150 เมตร ค่าเข้าชม 820 เยน ตรงจุดนี้จะสามารถชมวิวของโตเกียวได้โดยรอบแบบ 360 องศาเลยทีเดียว ส่วนจุดที่สอง อยู่ที่ความสูง 250 เมตร ต้องเสียเงินเพิ่มอีก 600 เยน ณ จุดนี้ สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ด้วย ถ้าอากาศดีๆ อะนะ จบแล้ว สำหรับวันนี้ พรุ่งนี้อยู่โตเกียววันสุดท้ายแล้วสิ ขอตัวไปวางแผนก่อนว่าจะไปไหนกันดี

No comments: