15 May 2008

Osaka-jo - Shinsaibashi

Japan 2007 : Day 5

วันนี้ตั้งเป้าไว้ว่าจะไปปราสาทโอซาก้ากัน เพราะงั้นต้องออกเร็วกว่าปกติ เพราะต้องนั่งรถไฟจากเกียวโตไปต่อรถที่ Umeda ขืนชักช้าจะไม่ได้การ ต้องรีบออกเดินทาง ณ บัดนาว



จาก Shijo Omiya นั่ง Hankyu ไปลง Umeda จากนั้น นั่งรถไฟสาย JR Loop Line ไปลงที่สถานี Osaka-jo koen ออกจากสถานีมาก็เจอสวนสาธารณะ Osakajo-koen อ้าว... แล้วไหนล่ะปราสาท พอดูแผนที่ถึงได้รู้ว่าใกล้แล้วหละ แต่ต้องเดินไปอีกหน่อย ไอ้เราก็นึกว่าลงผิดที่ซะแล้วสิ




แอบสะดุดตากับฝาท่อน้ำทิ้งบ้านเค้า ช่างมีดีไซน์ซะนี่กระไร ดูบ้านเราซิ นอกจากไม่มีดีไซน์อะไรแล้ว ฝาท่อยังยกสูงกว่าระดับพื้นให้คนสะดุดเล่น ไม่งั้นก็เปิดอ้าซ่าให้ คน-สัตว์-สิ่งของ ตกลงไปซะงั้นอะ



เดินมาซะเหนื่อย ในแผนที่ดูใกล้จังนิ เดินเลาะสวนมาเรื่อยๆ ข้ามสะพาน แล้วผ่าน Aoya Gate ซึ่งเป็นทางเข้าด้านหลัง ก็จะถึงตัวปราสาท



จะเดินดูข้างนอกอยู่ทำไม ซื้อตั๋วเข้าไปดูข้างในปราสาทกันดีกว่า ข้าวปุ้นรอกดปุ่มอยู่หน้าตู้ขายตั๋วแล้ว ค่าเข้าชมคนละ 600 เยน (เด็กๆ เข้าฟรี) ใส่เงินเข้าไป แล้วกดปุ่ม บัตรก็ออกมาเลย รวดเร็วทันใจดีแท้




ปราสาทโอซาก้า แลนด์มาร์คของเมืองโอซาก้าเค้าหละ ทั้งยังเป็นจุดชมวิวที่มีผู้มาเยือนมากที่สุดแห่งหนึ่ง และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโอซาก้าอีกด้วย ปราสาทถูกสร้างขึ้นครั้งแรกโดย Hideyoshi Toyotomi (1583-1615) เจ้าเมืองโอซาก้าในสมัยนั้น เพื่อแสดงถึงแสนยานุภาพ ตัวปราสาทประกอบขึ้นด้วยโครงสร้าง 13 อย่างที่รัฐบาลญี่ปุ่นระบุให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศเค้า สิ่งที่มีชื่อเสียงมากเป็นพิเศษคือ ประตูขนาดใหญ่และป้อมปราการที่อยู่ตามกำแพงรอบนอก กำแพงสูงชันเกือบ 30 เมตร นั้นทำมาจากก้อนหินขนาดใหญ่ ซึ่งถูกส่งมาจากเหมืองที่ห่างจากที่นี่ไปเป็น 100 กิโล ความสูงของกำแพงและความกว้างของคูน้ำรอบปราสาทนั้น เรียกได้ว่าปราสาทใหนในญี่ปุ่นก็เทียบไม่ติด

ปราสาทโอซาก้าหลังเดิม ได้ถูกฟ้าผ่า และเสียหายจากสงครามฤดูร้อน โดยฝีมือของตระกูล Tokukawa ปราสาทหลังเดิมจึงถูกทำลายเสียหาย พร้อมกับการล่มสลายไปของตระกูล Toyotomi ไปเกือบหมด ในปี ค.ศ. 1997 ปราสาทโอซาก้าได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ โดยได้นำโครงสร้างอันงดงามของกำแพง และความบริสุทธิ์สุกใสของทองคำกลับมาให้เราเห็นอีกครั้ง โดยจัดพื้นที่ภายในปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์ แต่ละชั้นก็จะจัดแสดงเรื่องราวต่างๆ เช่น ประวัติความเป็นมาของปราสาท ตั้งแต่ผู้ก่อตั้งปราสาท ไปจนถึงโบราณวัตถุล้ำค่า รวมทั้งงานศิลปะต่างๆ ที่อยู่ในปราสาทแห่งนี้อีกด้วย ชั้นบนสุดของปราสาททำเป็นจุดชมวิว ซึ่งสามารถมองเห็นเมืองโอซาก้าที่อยู่เบื้องล่างได้โดยรอบ ถึงจะไม่ใช่ปราสาทของแท้ดั้งเดิมซะทีเดียว แต่ก็เป็นตัวแทนบอกเล่าความเป็นมาของปราสาทโอซาก้าได้อย่างสง่างาม บริเวณด้านหน้าของปราสาทยังเป็นสถานที่ตั้งของแคปซูลกาลเวลา (Time Capsule) ที่เอาไว้เก็บสิ่งของเครื่องใช้ที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน โดยมีกำหนดเปิดในอนาคตอีก 100 ปีข้างหน้า



Shachi หรือรูปสลักปลาทะเลสีทองอร่าม ที่เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของปราสาทนี้



ลานกว้างๆ ที่เห็นข้างล่างนั้นเป็นบ้านพักรับรองแขกของที่นี่ (เค้าเขียนว่า Guest House) ไม่แน่ใจว่าแขกที่รับรองเนี่ยหมายถึงในสมัยโชกุน หรือหมายถึงแขกบ้านแขกเมืองของโอซาก้า อันนี้ก็จนปัญญา เพราะไม่รู้จะถามใคร พูดกันไม่รู้เรื่อง



ของที่ระลึกกะที่เที่ยวมันหนีกันไม่พ้นจริงๆ ที่นี่เลยมีตู้ขายของที่ระลึกแบบหยอดเหรียญเพียบ



อาหารขึ้นชื่อของเมืองโอซาก้า ก็ต้องเป็นทาโกะยากินี่หละ ไปที่ไหนก็เห็นมีขายเกลื่อน เหมือนไก่ย่าง-ส้มตำบ้านเรา ขนมของฝากยังเป็นขนมรสทาโกะเลย เสียดายไม่ได้ซื้อมา ตอนนั้นมัวแต่งกอยู่ เลยไม่รู้เลยว่ารสชาติเป็นไง





ตู้หลอกเด็กมาอีกแล้วครับทั่น มีเด็กคนนึงติดกับแล้วด้วย ต้องไปลากออกมา ไม่งั้นคงโดนตู้ดูดวิญญาณไปเป็นแน่ -__-'



หลังจากเดินกันจนขาลาก ขากลับเริ่มขี้เกียจเดิน ขอนั่งรถเอาละกัน เอาวะคนละ 200 เยนก็ยอม เมื่อยอะนะ ข้าวปุ้นขึ้นฟรีอีกตามเคย นั่งไปลงที่ทางออกใกล้สถานี Morinomiya



นั่งรถไฟที่ Morinomiya ไปลง Tennoji แล้วนั่ง subway ไปช้อปปิ้ง Shinsaibashi กัน



ถนนชินไซบาชิ เป็นถนนที่มีร้านค้ามากมาย และเป็นแหล่งช้อปปิ้งสุดฮิตของโอซาก้า ร้านค้าที่นี่จะเริ่มเปิดประมาณ 10 โมง ไปจนค่ำๆ ประมาณทุ่ม 2 ทุ่มก็ทยอยปิดกันแล้ว ที่นี่มีสินค้านานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า ร้านหนังสือ และร้านร้อยเยน (สินค้าแทบทุกชิ้นในร้านขายในราคาเพียง 100 เยนเท่านั้น) นอกจากนี้ยังมีห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง Takashimaya, Sogo และ Daimaru ตั้งอยู่ด้วย ถนนสายนี้จะมีหลังคาคลุมทางเดินไว้ตลอดทั้งสาย ทอดยาวต่อเนื่องไปทางใต้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าและนักท่องเที่ยว ช้อปปิ้งสตรีทจะมาสิ้นสุดลงที่คลองโดตงโบริ ซึ่งเป็นจุดที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะมีย่านบันเทิงโดตงโบริ (Dotonbori) ตั้งอยู่

งานนี้พ่อขอบาย เพราะข้าวปุ้นหลับขี้เกียจแบก เลยนั่งรอที่ร้าน Loterria แถวโซโก้ ส่วนแม่ก็จะไปเดินตามล่าหามินิมาร์ทที่ขายของจากเมืองไทย แต่ไม่รู้อยู่ไหน มีแต่นามบัตรร้าน + แผนที่คร่าวๆ ที่อยู่หลังบัตร พวกเราเลยต้องเริ่มปฏิบัติการตามล่าหาร้านไทยกัน ขืนปล่อยแม่ไปคนเดียว หลงชัวร์ มีหวังได้ไปติดประกาศแม่หายแหงมๆ



เดินมาเรื่อยๆ ถึงสะพานข้ามคลอง Dotonbori พอเห็นป้ายกูลิโกะ แม่บอกจำได้ วันนั้นก็มาทางนี้ แต่ไม่รู้ไปทางไหนต่อ เพราะที่เคยมาครั้งก่อนมีคนไทยพามา เดินตามเค้าเลยจำทางไม่ได้ เฮ้อ.. กลุ้ม เดินเลี้ยวผิดทาง เลยไปเจอร้านทาโกะยักษ์ ขนาดเท่าลูกเทนนิสเข้าให้ เห็นแล้วไม่กล้ากินเลย ใหญ่เกิน 5555 หลงไปหลงมา จนสุดท้ายต้องถามทางชาวบ้าน พูดกันก็ไม่รู้เรื่อง แต่ได้ความว่าให้เดินมาอีกทาง เอาวะ หาไม่เจอก็ถือว่าเดินเล่นละกัน -__-'




ย่าน Dotonbori นี้มีอาหารทะเลหลายร้านตั้งขนานไปกับคลองโดตงโบริ ซึ่งพากันตกแต่งหน้าร้านด้วยหลอดไฟนีออนหลากสี ทำเป็นรูป ปู กุ้ง และปลาหมึกยักษ์ นอกจากนี้โดตงโบริยังเป็นศูนย์กลางทางด้านการละครของญี่ปุ่นมานานหลายศตวรรษ มีทั้งโรงละครคาบูกิ โรงหุ่นบุนระขุ โรงภาพยนตร์ และยังเป็นแหล่งรวมร้านอาหาร และร้านเครื่องดื่มเก่าแก่ของโอซาก้าด้วย เดินมาเรื่อยๆ ก็เจอหุ่นตีกลองนี่ ที่เค้าชอบถ่ายไปลงหนังสือท่องเที่ยว ได้เจอตัวจริงซะที




เดินมาอีกหลายเลี้ยว กว่าจะเจอ เฮ้อ...กว่าจะถึง แม่ถอดใจไปหลายรอบแล้ว บอกไม่เจอก็ช่างเถอะ แต่พวกเราหรือจะยอม เดินมาไกลขนาดนี้ ไงซะก็ต้องหาให้เจอจนได้ ถึงร้านจะปิดก็ต้องหาให้เจอ จะได้รู้ว่าอยู่ตรงไหน และแล้วก็ถึงจนได้ ร้าน Thai Market Store แม่ขนซื้อเครื่องปรุงสารพัดไปตุนไว้เพียบ จนต้องห้ามไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวตอนอั้มมาก็มีขนมาจากเมืองไทยอีก 1 กระเป๋า กะว่าไม่ต้องซื้ออีกนานเลยหละ แต่ร้านนี้ดีแฮะ ดูทีวีไทยได้ด้วย เห็นหน้าร้านเค้าเปิดช่อง 3 อยู่ ที่เกียวโตน่าจะดูได้มั่งแม่จะได้ไม่เบื่อ



ขากลับเริ่มท้องร้อง ก็เดินซะไกลโคตร พอพาแม่ไปเจอพ่อแล้วก็เลยขอปลีกตัวไปหาของกิน + ช้อปปิ้งแถวชินไซบาชิ แล้วนัดเวลาเจอกันที่โซโก้ หิวจนจะกินควายได้แล้วเนี่ย เข้าร้าน Okonomiyaki ปุ๊บ สั่งเบิ้ลเลยทีเดียว 2 อย่าง ทั้งพิซซ่าญี่ปุ่น กะ ยากิโซบะ หิวๆๆๆๆๆ ไม่มีรูปนะขอตัวไปกินก่อนหละ บาย

No comments: